วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2552

SATI practicing in the graveyard




Late night , dark and cool , we visited a funeral pyre at Wat Pa Dham Uttayarn, Khon kaen


ฝึกสติ ด้วยการพาไป ทัศนศึกษา เมรุเผาศพ


ฝึกพิจารณา การตาย "อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา"




จากนั้น ก็แยกย้าย ไป นั่งกันที่ หลุมศพ นั่งคนเดียว เดือนมืด ข้างแรม ดึกสงัด
จุดเทียน ๑ เล่ม จุดธูป เพื่อเป็นเพื่อนแก้เหงา
เป้าหมายการฝึก คือ ดูจิต ดูความคิด ว่าเข้าทำงานร่วมกัน อย่างไร
ความคิดปรุงแต่งจิตเป็นอย่างไร จิตเกิดอาการแล้วกายเป็นอย่างไร ความคิดตอนจิตเกิดเป็นอย่างไร
ได้เห็น เงามืดๆ ไหวๆ เสียงดัง ตุ๊บ เสียงลากดัง กราก ๆๆๆ ....
จินตนาการ .... ทำงาน
หนังผีที่เคยดู
คำสอน คำขู่ เรื่องผีๆ ผุดออกมา ....
จิตเกิด จะแก้อย่างไร
ป่าช้า มันช้าพอที่จะทำให้เราเห็นความคิด เห็นจิตได้ชัดๆ
กลับ ไปบ้าน กลับไปที่ทำงาน มันเป็น ป่าเร็ว

บวชทำไม Why entering monkhood ?


When a man is becoming a monk ?
You will never know what a life of monk is until you have a chance to be a monk at least a week or two.
At Wat Pa Dham Uttayarn , Khon-kaen
ในภาพ ... พระเหมียว ... สนทนาธรรมกับผม โดยมี ทิดเจมส์ ร่วมแจมด้วย
ส่วนเจ้าเก๋ นอนหมดแรงฟัง เพราะ เพิ่งให้นมลูก ๙ ตัวของมันมาหมาดๆ

วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

Dialogue Interview as Internal Audit



System audit such as ISO / HACCP ,nowaday is going into a terible way.
Many audit make people (employee) hate the system , hate the auditors and finally hate the organization.

I-in-it and I-in-me are the normal social fields during the audit. These auditors need improvement.

Dialogue interview is a new way to enchance both producitivity and learning in the organization.

Dialogue Interview (DI) สุนทรียสนทนา เพื่อพัฒนาองค์กร

หลายคน เจอ ความอหังการ บ้าเลือดของเหล่าผู้ตรวจประเมิน มาเยอะมาก จนเกลียดทุกระบบ ที่ต้องมาตรวจ ตั้งแต่ 5s / ISO / GMP / HACCP / TPM ฯลฯ เพราะ พวกตรวจประเมิน นี่แหละ ตรวจไม่เป็น แถมยัง ถ่ายทอด วิชาเพี้ยนๆ ต่อกันมาเป็นรุ่นๆ ...... งานได้ผลเล็กน้อย คนเสียหายมากมาย ... คนโดนตรวจ เรียนรู้ ที่จะ หลบ พูดน้อย โกหก ฯลฯ

การตรวจประเมินนั้น คนตรวจต้องผ่านการฝึก deep listening มาเยอะๆ ฝึกดูจิต ฝึกการเป็นกระบวนกร (Facilitator) มาพอสมควร รู้จักการพาคนในวง เข้าสู่ I-in-you ได้

ตอนนี้ ยิ่งตรวจ ยิ่งแค้น ยิ่งตรวจยิ่งเกลียด ..... ยิ่งตรวจ ยิ่งหลงตนเอง ....

ในการทำ DI ..... ผมได้ปนๆเอา การทำ Ohno cycle ลงไปด้วย คือ ให้ ทั้ง Auditor (คนตรวจประเมิน) และ Auditee (คนถูกประเมิน) เข้าไปยืนนิ่งๆ ประมาณ ๓๐ นาที ในสถานที่ๆ จะประเมิน

คนที่จะเข้าไปยืนนิ่งๆนี้ ต้องฝึก ภาวนาก่อนนะครับ ดูจิตเป็นแล้วด้วย ไม่งั้น จะไปยืนแล้วโดนนิวรณ์เล่นงานแน่ๆ (เบื่อ กังวล ฟุ้งซ่าน เครียด ฯลฯ)

การประเมิน แทนที่จะ บ้าเลือด ไล่ถามตาม Checklist แบบเก่า เปลี่ยนมาเป็น วงเล่าเร้าพลัง (Storytelling)

มีการละลายพฤติกรรม กันในวงสนทนากันเล็กน้อย เช่น ร้องเพลง แต่งกลอน กอดกัน จับมือกัน ไปจนถึง อยู่กันเงียบๆ (Silent) สัก 5 นาที หรือ สวดมนต์ ทำสมาธิดูลมหายใจ ....

คุยกันไปเรื่อยๆ ชวนคุย พูดทีละคน อย่าแย่งกัน

เข้าสู่ Flow เพื่อให้ เกิดการ spark .... Flow คือ คุยกันแล้ว ไหลลื่น ไม่ขัดใจกัน ทำตัวเป็น wave เพราะ ถ้าติดขัด จะกลายเป็น particle

ที่ติดขัด ก็เพราะ ความคิดปรุงแต่ง อัตตา มันเข้ามาป่วน wave เลยกลายเป็น particle หรือ จากสงบๆ จาก ความว่าง (space อวกาศ นามธรรม จิตว่างๆ วิมุติ ) โดยการปรุงแต่ง ยึดมั่น ถือมั่น กลายมาเป็น ดวงดาว เป็นรูปธรรม จิตไม่ว่าง เป็นสมมติ )

การล้อมวงคุย แบบนี้ จะเปิด หู เปิดตา และ เปิดใจ (Open mind, open heart) .... เมื่อจิตสงบ ปัญญาเกิด .... ทุกคนจะเกิดแนวคิด ผุดขึ้นมา (spark) ทั้ง ผู้บริหาร คนถาม คนฟัง คนจด เจ้านาย คนสังเกตการณ์ และ คนโดนประเมิน (เจ้าของกระบวนการ ซึ่ง มีหลายแผนก หลายฝ่าย) ... นี่แหละ นำไปสู่นวตกรรม นำไปสู่ การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนียนๆ นุ่มๆ (Kaizen)..... " งานได้ผล คนได้พัฒนา"

เมื่อจะปิดการล้อมวง (Closing meeting) เราก็จะ ร่วมกัน เขียน What to do ด้วยกัน ทั้งวงเลย ทั้งคนโดนประเมิน และ คนประเมิน ว่าเราจะทำอะไรต่อไป เราเรียนรู้อะไร เรายังไม่รู้อะไร เราเปิดแรงใจเราออกมา (Open will)

การทำ DI เป็นอย่างไร ก็ลองๆเอาไปทำดู ได้ผลอย่างไร จะรู้เอง มันมากเกินกว่าจะบรรยายครับ




วันพฤหัสบดีที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2552

Ohno Circle--Watch and think for yourself


ผมชอบ เรื่อง วงกลม Ohno อ่านเหมือน ชื่อ โยโกะ โอโนะ หรือ ที่ John Lennon ร้องลั่นว่า "Oh !...no.."

แต่ นี่คนละคนกันครับ คนนี้คือ คุณ Ohno Taiichi ผู้คิดค้นระบบ TPS (Toyota Production System)

เรื่องของ วงกลมโอโนะ นี้อยู่ในหลักการ Principle 12: Go and see by yourself
เขียนวงกลมที่พื้น ในหน้างาน ในพื้นที่ทำงานจริงๆ

คนที่ Toyota ระดับบริหาร คือ คุณ Minuora เคยยืนนาน ถึง 8 ชั่วโมง เพื่อ มองไปรอบๆ และ ก็สังเกตๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (The power of deep observation)

แต่ คนอเมริกันที่โรงงาน Toyota ยืนได้แค่ 30 นาที ก็เบื่อแล้วครับ ที่เมืองไทยผมไม่แน่ใจว่า ยืนกี่นาที และ เคยทำก็หรือเปล่านะ

ในขณะที่ยืน คนเดียวนานๆแบบนี้ เริ่มบ่ายโมง คุณ Ohno ก็จะแวะมาถามคุณ Minuora ตอนเย็นๆ และ แวะมาเยี่ยมอีกที ตอนก่อนอาหารเย็น

คุณ Ohno ถามว่า คุณเห็นอะไร ? คำว่าเห็น ภาษาอังกฤษ คือ See ผมไม่แน่ใจว่า แปลว่า เห็น หรือ เข้าใจ แต่ คาดว่า น่าจะแปลว่า "เข้าใจ" อะไรสะมากกว่า
แต่ ถามแล้ว ก็ไม่ได้รอคำตอบ ทั้งสองครั้ง แค่ถาม แต่ คุณ Ohno ก็ไม่ฟังคำตอบ

การได้มายืนในวงแบบนี้ ถือว่าเป็น เกียรติ เป็นการฝึกฝนให้ได้ sensing

การอยู่ในวงก็เพื่อ ตั้งคำถาม วิเคราะห์ และ ประเมิน

ทุกวันนี้ ผู้บริหารมากมาย จดจ่ออยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในห้องทำงาน ดูข้อมูล (data) และ สถิติต่างๆ ทำแม้นแต่ สถิติขั้นสูง เช่น Six sigma ... ซึ่ง Ohno ถามว่า ทำสถิติมากมายปานนั้น ข้อมูลเยอะขนาดนั้น คุณเข้าใจบริบท (context) ตรงหน้างานได้ครบถ้วน จริงหรือ ? แน่ใจนะ ?

ผมนึกถึง คราวที่ไปเยี่ยม ชาวบ้านที่แพรกหนามแดง ชาวบ้านพูดได้กินใจมากว่า "ข้าราชการชอบมาเก็บข้อมูล แต่ ไม่เคยเห็นความจริง"

ผมก็นึกในใจ มันก็เป็นอย่างนี้แหละ พวกเรียนจากการศึกษาในระบบวิทยาศาสตร์เก่า ยุคอุตสาหกรรม มักจะ โดนตีกรอบมาให้ "หลง data" แต่ ขาด Sensing เกี่ยวกับความจริง เรื่อง Sensing นี้ ผมตีความง่ายๆว่า คือ การเฉลียวใจ เอะใจ อะไรประมาณนั้น

หลงสถิติมากๆ ก็เหมือนคนเชื่อหมอดู ตามคำทำนาย แต่ หากเป็นคนที่มี สติ สามารถทำจิตให้ว่างๆ จะเกิดปัญญาญาณ สิ่งที่ทำนายไว้ ก็จะผิดพลาด ฝืนคำทำนายได้เสมอๆ




"Data is of course important in maufacturing , but I place the greatest emphasi on facts."..... Taiichi Ohno

ข้อมูล เป็นอะไรที่ ห่างออกมาจาก ความจริงได้เสมอๆ
ผมเอง ก็ไม่ไว้ใจ "สถิติ"

มันยังมีโอกาสมากมาย ที่ สถิติ ข้อมูลต่างๆ ล้าหลังจากความจริง คับแคบ ซ้ำซาก และ บิดเบือน ไม่ครอบคลุมทุกสถานการณ์ ทุกแง่มุม

การจะพัฒนางานจึงต้องลงไปดูที่จริง ไปฝึก Sensing ...

ยกตัวอย่าง เช่น ในวงการกีฬา มักทำงานว่า ทีมนั้นทีมนี้ มีสถิติชนะ แพ้ อย่างนั้นอย่างนี้ แต่ พอเริ่มแข่ง คนดูในสนามจะพบว่า โยนสถิติทิ้งไปได้เลย

หลายๆอย่าง ตัวแปร เป็นเรื่อง ของ จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก แรงบันดาลใจ ความฮึกเฮิม ปฏิหารย์ ฯลฯ

ใน วิทยาศาสตร์ใหม่ หรือ ขั้นสูง .... จะพบว่า การเอาอดีตมาเป็นตัวแปรวัดอนาคต เป็นเรื่องที่อันตราย เพราะ มันทำให้ ผิดพลาด ผิดแผนแล้ว ยังไม่พัฒนาอีกต่างหาก
ตามสถิติ ทีมฟุตบอลเก่ง จะชนะทีมไม่ดังไม่เก่ง แต่ บ่อยครั้ง ก็พลิกล็อค แพ้ได้ก็มีให้เห็นเรื่อยๆ

วิทยาศาสตร์ใหม่ จะใช้ sensing และ sensing นั้น เป็นเรื่องของการฝึกฝน การทำบ่อยๆ จนเป็นทักษะ

ผมชอบคำที่ว่า "See America , then design for America" นี่คือ การออกแบบรถยนต์ให้เหมาะกับแต่ละประเทศ ซึ่งคำว่า see คือ เข้าใจ เข้าถึง

แต่ ระบบการศึกษาไทย See Thai ? , the design for all Thais" โดย see คือ เห็น แต่ไม่เข้าใจ ไม่เข้าถึง

วันก่อนผมไปที่ หน้างาน (Shop floor) ของโรงงานแห่งหนึ่ง เมื่อสัมภาษณ์พนักงานแล้ว ก็พบว่า พวกเขา อยู่หน้างาน มานานเกือบ 5 ปี ได้ทำงาน แต่ ไม่เข้าใจงาน ไม่ Sense เกี่ยวกับงาน แต่ สามารถทำงานตามคำสั่งได้ ถ้าเจ้านายไม่อยู่พลิกแพลงไม่ได้ และ บ่อยครั้ง เจ้านายก็สั่งผิดพลาดก็มี

สิ่งที่เราขาดไปมากๆ คือ การสังเกต สังเกต สังเกต

ไม่ว่าจะสังเกต สิ่งต่างๆ รอบตัว และ ที่สำคัญ เราไม่ได้เข้าไป สังเกต "จิต" ของเรา ความคิดของเรา กายของเรา ในสภาพจิตต่างๆ

การเข้าไปสังเกตๆๆๆๆๆ ดูจิตของเรา นี่แหละ จะช่วยให้เราพ้นทุกข์

Deep observation on how your Jitta and Thinking work together
Deep observation for the result of Jiita to your thinkings and to your body.

Deep observation on how your inner voice is attacking your Jitta, and vice versa how your shaking Jitta is influencing your thinkings.

วันพุธที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2552

วันอาทิตย์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2552

Buddha stutue at RomDharm








18 Jan 09





















Pra Niyom was busy with masonary work on the tail of the 9 heads Naka













Bar-B-Q Party and Camp Fire



































Camping..... Temperature down to 14 C at night








Camp fire








B-B-Q party








Dialogue








Meditation








at RomDharm.


No Plan is the best plan.

Many people ask me , what is the schedule , what will we do at RomDharm , Do we need to have a white dress, when we have to pray , At what time we have to bo to sleep, breakfast , brunch, lunch, tea -coffe break, dinner etc.,

My answer is " It's up to you". Use your sensing , how do you feel.

Who is hungry, your body or your Jiita ...... กายหิว หรือ จิตหิว

If your body indicate or signal to you that it need food ... ok feed them
But it your Jitta or Minds (Thinking) want to eat ,...... watching what happen to your Body (Gaia or กาย) how is your Jiita .... what happen to your thingings.......



PlearnPatta school came to visit us on 17 -18 Jan 2009

THis schedule was written aftet the activities was finished.


915 AM the first family arrived . Free time

1100 AM all of them arrieved.

1105 AM They gave a lunch to Pra Niyom . (ถวายเพล)

1130 AM We have lunch together ,..... Thai noodles ... and Kou Soi ( Thai Northern style noodle)
d
1150 AM Body scan activity : ...... sleeping and watching your body , minds and Jitta
1230 PM .... wake up

Free time

1345 AM Blindfold walking :

1415 - 1445 Dialogue : AAR

1500 - 1600 Cow milking
1600 Free time

1730 BBQ party

1900 Dialogue around fire

2000 Free time

Small dialogue group : Dharma discussion

18 Jan 09

630 AM We gave breakfast to Pra Niyom
.....
645 AM Breakfast Bread and E-sarn food

free time

900 AM walked to visit nearby Vegetable garden

Freetime

1100 AM Gave lunch to monk

1115 Check out : Dialogue

1200 AM Lunch

Bye - bye .....




















Cow milking




Enjoy cow milking at a nearby farm of RomDharm


Children Dialogue at RomDharm 18 Jan 09



Dialogue in a Fishbowl





After action review (AAR) after practicing blindfold walking







(Below image)



Young fishes in the dialogue bowl.



Let 's listen to our future talking

PlearnPattana Famility visted RomDharm 17 18-1-09






What a wonderful time we had.









About 10 families from PlearnPattan School came to visit our RomDharm at 10 AM




At 11 AM, they had a chance to give Plane (Lunch for monk) to a monk ,who is temporaly stay at RomDharm


Pra Niyom (พระนิยม) is the monk who is making our 9-Head Naka ( (9 heads dragon) Protecting over Buddha Statue . พระพุทธรูป ปางนาคปรก ๙ เศียร












Blindfold walking, a pair form the same family is praticing "Sati" .
















They learned how to trust each other,

Daughter (Boong บุ้ง) lead her mother.

วันศุกร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2552

Nemawashi เห็นพ้องต้องกัน แล้วรีบทำทันที

Make decision slowly by consensus, thoroughly considering all options; implement rapidly.
ใจเย็นๆ ค่อยๆ ตัดสินใจ ฟังให้หมดก่อน มองทุกมุม แล้ว คุยกันแบบ consensus ก็คือ คุยกันจนกว่าจะยอมรับเป็นเสียงเดียวกัน 1 ความเห็นที่แตกต่าง 99 ก็ต้องฟัง เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็รีบลงมือทำ

นี่เป็น Principle 13 ของ The Toyota Way.
ผม มีข้อคิด จาก หลักการที่ 13 นี้เยอะพอควร ดังนี้ :-
1) ผม นึกถึง เหล่าผู้บริหารไทย บัณฑิตในระบบการศึกษาไทย ส่วนใหญ่ พวกเขาฝึกมาให้ใช้ ฐานคิด มามาก ดังนั้น หลักการนี้ พวกเขา จะ คุยกันนานมาก คิดเอง เออเอง ไปจนถึง ทะเลาะกัน ทุบโต๊ะ งอน หรือ เงียบไป
ใน ห้องประชุมแบบไทยๆ เป็นวัฒนธรรมแบบไทยๆ คนที่ไม่เข้าใจ เรื่อง ฐานทั้ง 3 คือ "กาย ใจ ความคิด" ถ้ามาอ่านหลักการนี้แล้ว รีบร้อนเอาไปใช้ คงออกมาแนวเดิมๆ คือ No Action Talk Only. หรือ พวกเรา Talk พวกแกเอาไปทำ
ฝ่าย HR (บุคคล) มักจะ รู้ไมเท่าทัน กลลวงของระบบอุตสาหกรรม ดังนั้น ก็จะโดน นักการศึกษาหลอกลวงได้ง่ายๆ เช่น รับคนเรียนจบสูง มองไปที่ปริญญา สถาบันมีชื่อเสียง ฯลฯ
นี่แหละ คือ การ คัดเลือก เอา เหล่า นักคิด ( ขาด ฐานกาย ขาด ฐานใจ) เอาเข้ามาเป็น ผู้บริหารเต็มองค์กรไปหมดพวกฐานกาย มากๆ ก็จะโดน HR ตั้งเพดานตำแหน่ง เพดานเงินเดือน เอาไว้ ที่ "หัวหน้างาน"
พวกฐานใจ มากๆ ก็จะโดนไปทำงาน โครงงาน กิจกรรม และ ถูกมองว่า "อ่อนแอ" คำว่า "รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา" เป็น วัฒนธรรม ที่เป็นผลพวง มาจาก ระบบการศึกษาแบบฐานคิดเป็นตัวนำ

พวกบัณฑิต ฐานคิดมากๆ จะ คิดแบบ "ผู้บริหารในยุคอุตสาหกรรม" คือ "หาใครมาทำแทน คือ ยอดผู้บริหาร" แนวคิดแบบนี้ ทำลายการเรียนรู้ หยุดนวตกรรม แบ่งแยกคนในองค์กร

หลายๆบริษัทในประเทศไทย มี CEO แนว "การจัดการ คือ หาคนมาทำให้เหมาะกับงาน" ซึ่งก็จะดูดี ไปได้ดีในช่วงสั้นๆ แต่ ในระยะยาว เป็น ยุทธศษสตร์ที่นำหายนะมาสู่แบบไม่รู้ตัว

จะสังเกตได้ว่า nemawashi นั้น ไม่ได้หมายความว่า คุยกันเยอะๆ นะครับ แต่ เป็นระดับ Dialogue ขั้น I-in-you และ I-in-now
คนที่มาศึกษา nemawashi หรือ The Toyota Way หาก ไม่เข้าใจ Dialogue เอา อุปนิสัยเดิม ความเคยชินเดิมๆ มาใช้ ก็จะหล่นลงไป คุยกันแบบยุคอุตสาหกรรม

จะทำ Nemawashi ได้ ต้องผ่านการฝึกทักษะ Dialogue อย่างสม่ำเสมอ ถูกวิธี เห็นว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของภาพใหญ่ เข้าใจความสัมพันธ์ต่างๆ ทั้งด้านรูปธรรม และ นามธรรม
"เมื่อความเห็นไม่ตรงกัน การทดลอง การวิจัยย่อมเกิดขึ้น" เป็นอะไรที่ผมเน้น เสมอเมื่อเข้าไปเป็นที่ปรึกษาในองค์กรต่างๆ อย่าเต่ "ตกลงกันให้ได้" เพราะ consensus คือ เห็นตรงกัน

2) คำว่า "ความเห็น" ต้องมาตีความว่า เห็นอะไร เห็นด้วยมุมมองไหน เห็นครบทุกมุมหรือยัง และ ที่สำคัญ คือ ด้วยจิตที่ปกติ หรือ เห็นด้วยจิตไม่ปกติ

ฐานใจ จะสอนให้เรา รู้จัก ผ่อนจิตใจ ผ่อนอารมณ์ หรือ ยกจิตใจ ยกอารมณ์ ของเราขึ้นมาให้ ชิวๆ สบายๆ เป็นปกติ ไม่มีอคติ ไม่มีลำเอียง ไม่มีนิวรณ์ คลื่นสมองสบายๆ ที่ อัลฟ่า นี่แหละ จิตว่างๆ มีกำลังสติกำกับ ปัญญาจะไหลออกมา เป็น "ความเห็นที่ดี" เป็น ความเห็นชอบ ชอบด้วยกาละเทศะ ชอบด้วยศีลธรรม ชอบด้วยเหตุ เป็นการสร้าง "เหตุที่ดี" ย่อมก่อให้เกิด "ผลที่ดี" แน่นอน
ด้วยความโลภ เห็นใครเขาทำอะไรดี ก็แห่กันทำตาม ลงทุนตาม โดยประมาท สุดท้ายก็ล้มเหลวด้วยความโลภ
อยากจะเพิ่มยอดขาย ลงทุนสร้างโฆษณาลามก รุนแรง ก็ยอม โดยไม่คำนึงถึงอะไรอีกแล้ว นอกจาก ตัวเลขกำไร สังคมจะย่อยยับ ฉันมองไม่เห็น อีกนานกว่าจะเห็นผล ฉันไม่เชื่อ ฉันว่านี่แหละ คือ ศิลปะ

ด้วยความแค้น ฉันทำทุกอย่างที่จะ ทำลายคู่แข่ง ไม่ว่าจะแกล้ง กดดัน ขโมยความลับ ขโฒยคนเก่ง ฉันทำได้ทั้งนั้น ด้วยความลำเอียง ฉันซื้อทุกอย่าง แบบใต้โต๊ะ
ด้วยความอคติ ฉันไม่ฟัง คนที่เตือนฉันตรงๆ ใครเคยตำหนิฉันไว้ ฉันไม่มีวันลืม แค้นนี้ย่อมต้องชำระ

3) ฐานกาย ไม่เข้มแข็ง ฐานใจก็พัง ฐานคิดก็ไม่สะอาด และ การฝึกฐานกาย คือ Learning by doing เกิดเป็นวงจรการเรียนรู้ เดินลงไปดูที่หน้างาน ลงไปทำจริง เรียนรู้แบบ action learning
ไม่ใช่ ฟังเขาบอก กอดอกมองดูแล้วบอกว่า "เข้าใจแล้ว"
การศึกษาในระบบ ทำลาย ฐานกายมากๆ นั่งทั้งวันในห้องแออัด อากาศเสีย ท่องๆ คิดๆ อยู่กับ คนที่เอาข้อมูลมาฉาย ให้ดู คิดให้ตรงกัน ประชุมกันแบบคิดเองเออเองบนหอคอยการเรียนรู้บนฐานกาย คือ ทำเอง รู้เอง
เคยสังเกตไหม ของบางอย่างอธิบายให้ตายก็ไม่เข้าใจ เช่น ขี่จักรยาน จะให้อธิบายว่า ต้องทำยังไง ไม่ได้ครับ มันเป็นทักษะ ที่ต้อง ซ้อมๆๆๆๆๆการจะเข้าใจ
"ธรรม" ก็ต้อง ซ้อมๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
การจะเป็นผู้บริหาร ก็ต้อง ซ้อมๆๆๆๆๆๆๆๆๆ กับครูด้านบริหาร "กาย ใจ" หาก ไปหลงกล การศึกษาในระบบ ซ้อมๆๆๆๆๆ กับ ครูด้านบริหารความคิด (อีกแล้ว) ก็พังครับ
ฐานกาย ฐานใจ เข้มแข็ง ไม่ต้องกลัวว่า จะคิดไม่เป็น ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่คิด
ฐานคิด อุปมา เป็นหลังคา ฐานกาย ฐานใจ เป็น พื้นล่าง และ เสา

4) ทำทันที เป็น อะไรที่ ผู้บริหารไทย รับไม่ค่อยจะได้ มันฝืน ความเคยชิน ฝืนอุปนิสัยที่โดนหล่อหลอมมามากๆ
ทำทันที ในที่นี้ ผม คงหมายถึง ทำการทดลอง หากยังมีมุมที่เทาๆอยู่ ก็จงทำในพื้นที่ย่อยๆ เล็กๆ เพื่อเป็น "นำร่อง"
ทำทันทีก็เพื่อการเรียนรู้
ทำให้เร็ว จะได้เรียนรู้เร็ว เห็นจุดอ่อนได้เร็ว
ธรรมทันที คือ ทำอะไร คิดอะไร ก็คิดว่าเป็นธรรมไหม ธรรมชาติไหม จิตปกติหรือจิตไม่ปกติ มีสติไหม
ทำทันที ผิดพลาดไม่เป็นไร นี่คือ ช่วงเรียนรู้
แต่ ผู้บริหารไทย เป็นคนที่เต็มไปด้วยความกลัว กลัวพลาด กลัวเสียฟอร์ม กลัวเสียตำแหน่ง กลัวโดนแซว ฯลฯ
เป็นการปนเปื้อนทางอารมณ์และความคิด ที่ติดมาจาก การศึกษาในระบบ ผ่านการศึกษาที่ใช้ "ความกลัว" เป็นแรงจูงใจให้ ขยัน ให้เรียน
ผู้บริหารไทย หลายท่าน จึงควรจะต้อง สำรวจตนเอง ปนเปื้อนอะไรมา เข้าค่ายฝึกชำระความปนเปื้อนต่างๆ

หลายท่าน ตีความคำว่า Nemawashi นี้ คือ การ Lobby แบบที่ พวกตะวันตก พวกนักการเมือง และ นักธูรกิจ ชอบใช้กันบ่อยๆ
ในหลายๆองค์กร พวกเขา Nemawashi กันนอกรอบ ในบรรยากาศทีเป็น Dialogue เหมาะสม เมื่อมาถึง เวลาประชุมเป็นทางการ ก็แค่มองหน้ากัน พูดให้มีคนจดบันทึก และ ก็ผ่านไปวาระต่างๆได้เร็ว อย่างไม่น่าเชื่อ
คนนอกวงการอาจจะงง "เอะ ทำไม เปิดวาะ แล้ว ไม่ซัดกันเละ แบบการประชุมไทยน่ะ " ก็เพราะ เขาคุยกัน จนเปื่อย จนยุ่ยแล้ว ศึกษาแล้ว ลองทำดูบ้างแล้ว
หาก ผลออกมาผิดเพลาด ก็ถือว่า ก็ต้องมาดูกันผู้บริหารญี่ปุ่น มัก พูดบ่อยๆว่า "อย่าเกลียดคนทำผิด แต่ เกลียดความผิด" และ "มั่นใจ 50% ก็ลงมือทำเลย"
แต่ ของไทยเรา "ใครทำผิด ...ซวยแน่ๆ" และ " ไม่ชัวร์ อย่าทำนะเฟ้ย เธอทำ เธอรับผิดชอบนะ ฉันไม่เกี่ยว"
วงจร โนนากะ (Nonaka learning cycle) จึงไปหมุนไป การพัฒนา (Kaizen) ก็ไม่เกิดขึ้น .....

วันพุธที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2552

Empathy vs Sympathy

Empathy คือ เห็นใจเขา เข้าใจเขา แต่ ตัวเรา จิตปกติ จิตว่าง มีสติ ไม่มีอคติ ไม่มีลำเอียง ไม่อิน
Sympathy คือ เห็นใจ เข้าใจ แต่ ตัวเรา มีอารมณ์ร่วมด้วย อินด้วย เจืออคติลำเอียงไปกับเขาด้วย

Empathy = understand , can tell how they feel but our Jitta is calm , still, light , ...., no prejudice, no bias, no emotional involved .... We can comment but with sati

Sympathy = understand , can tell how they feel but our Jitta is working .... uncalm , not still, heavy, tense, sad, joy,.... whatever .... We have emotional involved with their story and we lose our Sati .

วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552

Fruit vs Yam

Respect other opinion , race ,religious ,age ,sex,... etc ,... is like a fruit salad . ---> variety of tastes

Try to make everyone become the same taste .... is like a yam. ---> single taste

Respect each other ............... Suspend your judgement .......

Slow down...Deep listening ....

Empathy not sympathy

Pra Arjarn Samran visited RomDharm




Now, I am a follower of this Buddhist monk.
Pra Ajarn Samran is now lived in Wat Dharmma Utthayarn 11 kilometres north of Amphor Mueng KonKaen, Thailand.

Build a buddha statue in your heart..... too







During our works ...
we must wacthing our thinkings and our Jitta ...
Keep our jitta... calm... light...happy inside...
while working at the same time...

Whenever we feel or sense that our Jitta is not calm... we will stop thinking and pay attention to our body movement...Sati at our hand our breath...

"Jitta and Thinking" can seperately work ..

Don't let your thinkings your inner voices activate or disturb you Jitta.

When your Jiita is not calming .... stop thinking .... try to watch your body (Sati ) ... think positively... think to the 3 laws of universe.....(Suffering / Unreal / Uncertainty)

Never ever use Jiita with Thinking .....

Dialogue is a great tool for sustainable development





Dialogue ......


First level or Lowest social field : I-in-me <---Polite


Second level : I-in-it <---- Debate


Third level: I-in-you <---- Dialogue


Fourth level: I-in-now <----- Precensing


Leadership & New Science




Leadership and the New Science

by
Margaret J. Wheatley


In my opinion, this is a must read book.
Our world is being destroted every day and getting worse every minute.
We need love , peace, understanding , learn , unlearn, forgive, Sati , etc.
What is our life call us for ?
Quantum physics ----> organization management
-----> Living organization
-----> Happy workplace

Theory U in action at RomDharm



Theory U in action at RomDharm

Theory U is one of our tools practicing to understand ourself then others

Our activties Playing + Learning = เพลิน


Edutainment
Learning how to survive in case of World Flooding